ภาพยนตร์ Wonder Woman เข้าโรงฉายพร้อมๆ กับสายฝนที่โปรยปราย แต่ก็ยังได้รับการต้อนรับที่ดีจากคอภาพยนตร์ อาจจะด้วยเสน่ห์ของตัวนำอย่าง แกล กาด็อต ก็เป็นได้
จะว่าไป แกล กาด็อต ก็เหมาะสมดีที่จะรับบทไดอาน่าใน Wonder Woman เพราะตัวละครตัวนี้ต้องทั้งสวยและบู๊เก่ง ซึ่งกาด็อตเองก็เคยขึ้นเวทีประกวดมิสยูนิเวิร์สในฐานะนางงามอิสราเอลมาแล้ว และก็เคยเข้ารับราชการทหารตามแนวทางของประเทศอิสราเอลมาแล้วเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงครบเครื่องสมกับบทที่ได้รับ
เรื่อง Wonder Woman นี้ เจ้าตำรับคือ DC ได้เขียนเป็นการ์ตูนไว้ตั้งแต่ปี 1941 และได้รับความนิยมจากผู้อ่านไม่น้อย ซึ่งหาไม่ง่ายนักที่ ฮีโร่ผู้หญิงจะได้รับความสนใจเช่นนี้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเวลานั้นเป็นช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สหรัฐอเมริกาต้องการปลุกกระแสรักชาติ จึงได้มีการสร้างการ์ตูนที่เป็นฮีโร่ขึ้นมา ฝั่งค่าย Marvel สร้าง Captain America จนได้รับความนิยม ค่าย DC.จึงสร้างฮีโร่เป็นเพศหญิงขึ้นมาบ้าง ซึ่งก็คือ Wonder Woman นั่นเอง
ถึงกระนั้นกว่าจะลุกขึ้นทำเป็นภาพยนตร์ในครั้งนี้ ค่ายหนังก็ต้องวางแผนอย่างดี รวมทั้งการให้ตัวละครตัวนี้ชิมลางมาก่อนในเรื่อง Batman vs Superman ซึ่งภาพลักษณ์ของเธอก็สร้างความน่าติดตามได้ไม่น้อยเลย
เรื่องนี้เล่าถึง เจ้าหญิงไดอาน่า ชาวเผ่านักรบอเมซอน ที่เกิดมาด้วยการสร้างของเทพเจ้าซุส เพื่อให้มาต่อกรกับ แอรีส ลูกของซุสเช่นกันแต่เป็นเทพด้านสงคราม เดิมทีเธอโตมาในโลกที่สวยงามของชนชาวอเมซอนที่มีแต่หญิงล้วน โดยไม่ล่วงรู้ถึงภารกิจนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งความลับนี้ก็ถูกเปิดเผย และเมื่อนายทหารหนุ่มชื่อ
สตีฟ เทรเวอร์ (คริส ไพน์) หนีศัตรูคือทหารนาซีเข้ามาในดินแดนของเธอ เธอก็พร้อมจะลุกขึ้นมาเพื่อตามหา แอรีส และกำจัดซะ
นั่นเองทำให้เธอต้องจากบ้านเกิดมายังกรุงลอนดอน และก็ตามเทรเวอร์ไปถึงสมรภูมิรบระดับแนวหน้าซึ่งก็คือการเผชิญหน้ากับกองกำลังของทหารนาซี เพื่อทำภารกิจของเธอให้สำเร็จ โดยหารู้ไม่ว่า แอรีส ตัวจริงเป็นใคร ต่อเมื่อแอรีสเผยตัวออกมาด้วยฤทธิ์เดชระดับเทพเจ้าก็เล่นเอาไดอาน่าเกือบสิ้นท่าเช่นกัน
แต่สิ่งที่ช่วยให้เธอมีพลังและเชื่อมั่นก็คือ "ความรัก" ที่ทำให้โลกยังสวยงามอยู่ได้ในสายตาเธอ
งานสร้างของภาพยนตร์แนวนี้ต้องมีความโดดเด่นอยู่แล้ว และเรื่องนี้ก็เปิดโอกาสให้สร้างสรรค์งานสร้างออกมาถึง 3 โทนด้วยกัน คือ แนวแฟนตาซีในช่วงแรกที่ไดอาน่ายังอยู่ที่เกาะอเมซอน ดูสดใสสวยงามดีแท้ จนมาถึงแนวจริงจังออกเรียลนิดๆ ในช่วงที่มากรุงลอนดอนและกระโดดเข้าสู่สมรภูมิรบที่โทนออกเป็นหนังสงครามเลยทีเดียว
แต่พอแอรีสปรากฏตัวขึ้นพร้อมการแสดงอิทธิฤทธิ์มากมาย งานสร้างก็เข้าสู่โหมดภาพยนตร์ฮีโร่เต็มตัวที่มีเอฟเฟ็คและ CG. แบบถาโถมโรมรันกันให้สะใจกันเลย
บทหนังก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษโดดเด่น เดินหน้าตามสูตรที่ควรจะเป็นโดยผสมเอารสนิยมของผู้ชมรุ่นเยาว์ไว้ด้วย ไม่ได้ดาร์คเหมือน Batman vs Superman มีแทรกบทตลก กุ๊กกิ๊ก แนมอยู่ทั้งเรื่องในช่วงต้นและกลางเรื่อง ด้วยความที่มาจากคนละโลก มุขแบบบ้านนอกเข้ากรุงของไดอาน่าจึงมีให้เห็นอยู่ตลอด ให้ได้หัวเราะฮึๆ อยู่เป็นระยะ
หนังตั้งใจขายตัวนำอย่าง แกล กาด็อต จริงๆ แค่ขยันโคลสใบหน้าสวยๆ ของเธอ ผู้ชม(ผู้ชาย)ก็มีความสุขแล้ว ต้องยอมรับว่าหุ่นนางงามและความทะมัดทะแมงแบบทหารเก่าของเธอเมื่อมาสวมชุดนักรบสาวอย่าง Wonder Woman ก็ถือว่าสอบผ่านมากๆ และเธอก็เล่นแอคชั่นได้ไม่เลวทีเดียว ส่วนบทที่ต้องใช้อารมณ์นั้น ยังต้องการการพัฒนาอีกสักหน่อย คงต้องรอดูภาคต่อไปว่าเธอจะมีอะไรให้เราประทับใจได้ยิ่งขึ้น
แม้หนังจะมีตัวเอกเป็นผู้หญิง และเชิดชูความเป็นฮีโร่เสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้ยัดเยียดจนคนดูอึดอัด ถึงกระนั้นถ้าดูให้ดีก็ยังเห็นกลิ่นอายของความเป็นใหญ่ของเพศชายแฝงเร้นในหนังอยู่ดี
สรุปว่าหากใครอยากหลบฝนโดยเข้าไปดูหนังสักเรื่อง หนังเรื่องนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว อย่างน้อยก็ดูนางเอกได้เพลินตาแล้วกันน่า.
จะว่าไป แกล กาด็อต ก็เหมาะสมดีที่จะรับบทไดอาน่าใน Wonder Woman เพราะตัวละครตัวนี้ต้องทั้งสวยและบู๊เก่ง ซึ่งกาด็อตเองก็เคยขึ้นเวทีประกวดมิสยูนิเวิร์สในฐานะนางงามอิสราเอลมาแล้ว และก็เคยเข้ารับราชการทหารตามแนวทางของประเทศอิสราเอลมาแล้วเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงครบเครื่องสมกับบทที่ได้รับ
เรื่อง Wonder Woman นี้ เจ้าตำรับคือ DC ได้เขียนเป็นการ์ตูนไว้ตั้งแต่ปี 1941 และได้รับความนิยมจากผู้อ่านไม่น้อย ซึ่งหาไม่ง่ายนักที่ ฮีโร่ผู้หญิงจะได้รับความสนใจเช่นนี้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเวลานั้นเป็นช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สหรัฐอเมริกาต้องการปลุกกระแสรักชาติ จึงได้มีการสร้างการ์ตูนที่เป็นฮีโร่ขึ้นมา ฝั่งค่าย Marvel สร้าง Captain America จนได้รับความนิยม ค่าย DC.จึงสร้างฮีโร่เป็นเพศหญิงขึ้นมาบ้าง ซึ่งก็คือ Wonder Woman นั่นเอง
ถึงกระนั้นกว่าจะลุกขึ้นทำเป็นภาพยนตร์ในครั้งนี้ ค่ายหนังก็ต้องวางแผนอย่างดี รวมทั้งการให้ตัวละครตัวนี้ชิมลางมาก่อนในเรื่อง Batman vs Superman ซึ่งภาพลักษณ์ของเธอก็สร้างความน่าติดตามได้ไม่น้อยเลย
เรื่องนี้เล่าถึง เจ้าหญิงไดอาน่า ชาวเผ่านักรบอเมซอน ที่เกิดมาด้วยการสร้างของเทพเจ้าซุส เพื่อให้มาต่อกรกับ แอรีส ลูกของซุสเช่นกันแต่เป็นเทพด้านสงคราม เดิมทีเธอโตมาในโลกที่สวยงามของชนชาวอเมซอนที่มีแต่หญิงล้วน โดยไม่ล่วงรู้ถึงภารกิจนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งความลับนี้ก็ถูกเปิดเผย และเมื่อนายทหารหนุ่มชื่อ
สตีฟ เทรเวอร์ (คริส ไพน์) หนีศัตรูคือทหารนาซีเข้ามาในดินแดนของเธอ เธอก็พร้อมจะลุกขึ้นมาเพื่อตามหา แอรีส และกำจัดซะ
นั่นเองทำให้เธอต้องจากบ้านเกิดมายังกรุงลอนดอน และก็ตามเทรเวอร์ไปถึงสมรภูมิรบระดับแนวหน้าซึ่งก็คือการเผชิญหน้ากับกองกำลังของทหารนาซี เพื่อทำภารกิจของเธอให้สำเร็จ โดยหารู้ไม่ว่า แอรีส ตัวจริงเป็นใคร ต่อเมื่อแอรีสเผยตัวออกมาด้วยฤทธิ์เดชระดับเทพเจ้าก็เล่นเอาไดอาน่าเกือบสิ้นท่าเช่นกัน
แต่สิ่งที่ช่วยให้เธอมีพลังและเชื่อมั่นก็คือ "ความรัก" ที่ทำให้โลกยังสวยงามอยู่ได้ในสายตาเธอ
งานสร้างของภาพยนตร์แนวนี้ต้องมีความโดดเด่นอยู่แล้ว และเรื่องนี้ก็เปิดโอกาสให้สร้างสรรค์งานสร้างออกมาถึง 3 โทนด้วยกัน คือ แนวแฟนตาซีในช่วงแรกที่ไดอาน่ายังอยู่ที่เกาะอเมซอน ดูสดใสสวยงามดีแท้ จนมาถึงแนวจริงจังออกเรียลนิดๆ ในช่วงที่มากรุงลอนดอนและกระโดดเข้าสู่สมรภูมิรบที่โทนออกเป็นหนังสงครามเลยทีเดียว
แต่พอแอรีสปรากฏตัวขึ้นพร้อมการแสดงอิทธิฤทธิ์มากมาย งานสร้างก็เข้าสู่โหมดภาพยนตร์ฮีโร่เต็มตัวที่มีเอฟเฟ็คและ CG. แบบถาโถมโรมรันกันให้สะใจกันเลย
บทหนังก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษโดดเด่น เดินหน้าตามสูตรที่ควรจะเป็นโดยผสมเอารสนิยมของผู้ชมรุ่นเยาว์ไว้ด้วย ไม่ได้ดาร์คเหมือน Batman vs Superman มีแทรกบทตลก กุ๊กกิ๊ก แนมอยู่ทั้งเรื่องในช่วงต้นและกลางเรื่อง ด้วยความที่มาจากคนละโลก มุขแบบบ้านนอกเข้ากรุงของไดอาน่าจึงมีให้เห็นอยู่ตลอด ให้ได้หัวเราะฮึๆ อยู่เป็นระยะ
หนังตั้งใจขายตัวนำอย่าง แกล กาด็อต จริงๆ แค่ขยันโคลสใบหน้าสวยๆ ของเธอ ผู้ชม(ผู้ชาย)ก็มีความสุขแล้ว ต้องยอมรับว่าหุ่นนางงามและความทะมัดทะแมงแบบทหารเก่าของเธอเมื่อมาสวมชุดนักรบสาวอย่าง Wonder Woman ก็ถือว่าสอบผ่านมากๆ และเธอก็เล่นแอคชั่นได้ไม่เลวทีเดียว ส่วนบทที่ต้องใช้อารมณ์นั้น ยังต้องการการพัฒนาอีกสักหน่อย คงต้องรอดูภาคต่อไปว่าเธอจะมีอะไรให้เราประทับใจได้ยิ่งขึ้น
แม้หนังจะมีตัวเอกเป็นผู้หญิง และเชิดชูความเป็นฮีโร่เสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้ยัดเยียดจนคนดูอึดอัด ถึงกระนั้นถ้าดูให้ดีก็ยังเห็นกลิ่นอายของความเป็นใหญ่ของเพศชายแฝงเร้นในหนังอยู่ดี
สรุปว่าหากใครอยากหลบฝนโดยเข้าไปดูหนังสักเรื่อง หนังเรื่องนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว อย่างน้อยก็ดูนางเอกได้เพลินตาแล้วกันน่า.