“เมื่อไรงานแต่งจะพ้นๆไปสักที เหนื่อยเหลือเกิน” นี่คือคำพูดที่เราได้ยินบ่อยๆจากเพื่อนๆบ่าวสาวในช่วงเตรียมงานแต่งงาน
เชื่อว่าคนคบกันทุกคู่ก็คงอยากแต่งงาน อยากเริ่มต้นชีวิตคู่อย่างสวยงาม แต่พอถึงวันนั้นขึ้นมาจริงๆ การแต่งงานกลับไม่ได้เป็นเรื่องของคนสองคน แต่กลายเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พ่อแม่และวงศ์ตระกูล แล้วทำยังไงดีล่ะ ที่จะควบคุมไม่ให้ค่าใช้จ่ายบานปลาย จนท้ายที่สุดแล้วงานแต่งงานได้สร้างหนี้มหาศาลในช่วงเริ่มต้นของชีวิตคู่
ฉันคงบอกวิธีอย่างชัดเจนไม่ได้ เพราะว่านี่ตัวเองก็ยังไม่ได้แต่ง แต่ด้วยความที่ปีที่ผ่านมา มีคนสนิทรอบตัวแต่งงานมากมายเหลือเกิน จึงอยากที่จะรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจที่ได้รู้มาแล้วนำบอกต่อแล้วกัน
มาตรฐานการใส่ซองของคนธรรมดา มนุษย์เงินเดือนแถบกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ สถานที่จะเป็นโรงแรมหรู หรือสตูดิโอธรรมดา ก็เฉลี่ยอยู่ที่คนละ 1,000 บาท หากจะมีมากกว่านี้ ก็คงเป็นผู้ใหญ่ หรือญาติสนิท หรือหากจะน้อยกว่านี้ เอาตามตรงก็คงมีความเก้อเขินเวลาเจ้าภาพเปิดซองอยู่สักหน่อย
ยกตัวอย่างราคาค่าจัดงานแต่งงานของโรงแรม 5 ดาว แห่งหนึ่งย่านสาทรเหนือ
อาหารแบบค็อกเทลราคาอยู่ที่ 1,100-1,500 บาท ต่อหัว ขั้นต่ำ 200 คน
โต๊ะจีน 1,400 บาท ต่อหัว
นั่นหมายความว่า ถ้ามีแขกใส่ซองคนละ 1,000 บาท เท่ากับว่าเจ้าภาพขาดทุนแล้วแน่ๆ 100-500 บาทต่อหัว
ถ้างานเชิญแขก 200 คน ก็จะขาดทุน 20,000- 100,000 บาท
ถ้า 500 คน ก็จะขาดทุน 50,000- 250,000 บาท
โรงแรม 5 ดาว บางแห่งมีค่าสถานที่แยกออกไปอีกเป็นแสน ไม่รวมค่าชุดบ่าวสาว ค่าตกแต่งสถานที่ ค่าช่างภาพ ค่าสินสอด ค่าแหวนหมั้น ค่าออแกไนเซอร์ ค่าการ์ด ค่าเค้ก ค่าเปิดขวด และอื่นๆอีกมาก
แล้วถ้าไม่แต่งที่โรงแรม 5 ดาว แต่เป็นสตูดิโอชิคๆ หรือร้านอาหารสวยๆล่ะ เค้าคิดค่าใช้จ่ายกันอย่างไร
สตูดิโอชิคกะด้าวแถบรามอินทรา คิดค่าสถานที่ที่รองรับแขกได้ 150-350 คนในราคา 150,000 บาท ไม่รวมค่าอาหาร ที่หากเลือกนำเข้ามาเองก็บูทละ 10,000 บาท บวก ค่าออแกไนเซอร์อีกราว 6-80,000 บาท ว่ากันไป
ร้านอาหารแสนเก๋แถบสุขุมวิท รองรับแขกได้ 100-180 คน คิดค่าสถานที่ 60,000 บาท บวกบุฟเฟต์อาหารหัวละ 1,200 บาท
เราไม่ได้บอกว่างานแต่งงานมีแต่จะขาดทุน เพราะก็มีหลายคู่ที่หลังงานแต่งแล้วได้เงินไปใช้ตั้งต้นชีวิตด้วยซ้ำ เอาเป็นว่ามันมีวิธีของมัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกแบบไหน และพึงพอใจในจุดใดมากกว่า
และเราก็ไม่ได้บอกว่าการแต่งงานคือธุรกิจที่แสวงหาผลกำไร แต่ในสังคมทุกวันนี้ มีคนหลายคู่เหลือเกินที่มีความสุขในวันแต่งงาน แต่ท้ายที่สุดก็ต้องเป็นทุกข์เพราะหนี้ก้อนโตหลังงานเสร็จสิ้น คงต้องยอมรับ ว่าฐานเงินเดือนโดยมากของพนักงานออฟฟิศในวัยหนุ่มสาวที่กำลังเริ่มต้นใช้ชีวิตนั้น มันอาจไม่มากพอที่จะเนรมิตงานแต่งให้สวยงาม ใหญ่โต เว้นแต่จะพึ่งบุพการี นั่นก็เท่ากับว่า คนเป็นพ่อแม่ต้องให้เงินก้อนใหญ่กับลูกในช่วงตั้งต้นชีวิต สำหรับครอบครัวที่มีพอมันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สำหรับครอบครัวที่ไม่มี มันก็เท่ากับการกู้หนี้ยืมสินใช่หรือไม่
แล้วสิ่งที่คู่รักอาจจะทำได้คืออะไร
ตั้งงบประมาณของงานแต่งงานให้ชัด แล้วทำตามให้ได้ เช่น งานครั้งนี้ต้องดีที่สุด คนเราแต่งครั้งเดียวในชีวิต ขาดทุนไม่เป็นไร หรือ.. งบประมาณมีเท่านี้ จัดได้ไม่เกินเท่านี้ ไม่ดีที่สุดไม่เป็นไร สำคัญคือต้องทำตามงบให้ได้ นอกจากนี้แล้ว การมีคอนเนคชั่นที่ดี จะสามารถเซฟงบได้หลายทาง เช่น ได้ลดค่าสถานที่ ค่าตากล้อง หรือกระทั่งชุดบ่าวสาว
สำหรับคู่ที่ซีเรียสเรื่องซอง คุณควรคัดกรองแขก โดยเฉพาะอย่างยิ่งญาติผู้ใหญ่ที่อาจไม่ได้มาร่วมงานแต่ฝากซองมาเป็นก้อนโต ในข้อนี้เราต้องทำใจด้วยว่าถึงคราวของเขา ผู้ใหญ่ฝ่ายเราต้องจ่ายคืนเหมือนกัน บางคู่ บางบ้านมีการจดเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยนะ
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า นี่คืองานแห่งความสุข คุณอยากให้พ่อแม่มีความสุข อยากให้เพื่อนๆญาติๆ ได้มาเฉลิมฉลองในวันสำคัญไม่ใช่เหรอ ดังนั้น ไม่ควรลืมที่จะทำใจให้สบาย และปล่อยวางในบางจุด
งานแต่งงาน จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขในชีวิตคู่ หรือจุดเริ่มต้นของหนี้ก้อนโต คุณสามารถเลือกเองได้