หนัง The Mummy ในยุค 2017 นี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนัง The Mummy ที่เคยสร้างมาก่อนหน้านี้ 2-3 ภาค เพราะนี่คือภาคเริ่มต้นของหนังในชุด Dark Universe ของค่าย Universal ที่โดดลงมาร่วมแจมด้วยกับค่ายหนังประเภทฮีโร่ทั้งหลายอย่าง
DC และ Marvel
The Mummy เรื่องนี้ได้ดาราแม่เหล็กอย่าง ทอม ครูซ มานำแสดง ซึ่งก็ใช้พี่แกได้คุ้มจริงๆ คือเล่นมันทั้งเรื่อง ตั้งแต่ฉากเปิดที่นักขโมยของโบราณอย่างเขาต้องมาเจอกับสุสานมัมมี่พันปี ซึ่งเป็นที่ฝังร่างของ เจ้าหญิงอาห์มาเนท ที่ถูกพันเป็นมัมมี่ทั้งเป็นใส่โลงฝังไว้เพราะคิดทรยศฆ่าบิดาตัวเองเพื่อหวังครองราชสมบัติ
จากนั้นทอม ครูซ ก็ต้องสะบักสะบอมกับการที่ไปปล่อยเอาวิญญาณของเจ้าหญิงให้ออกมาอาละวาด และตัวเขาได้รับเลือกจากวิญญาณร้ายของเจ้าหญิงให้เป็นร่างที่จะถ่ายเทวิญญาณร้ายที่ค้างคาไว้ให้สำเร็จ และทอมก็พยายามจะแก้การถูกครอบงำนั้น แต่ในที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นอสูรร้ายคนใหม่ที่จะท่องไปในโลก Dark Universe ต่อไป ซึ่งตามแผนงานก็จะมีตัวละครอย่าง แฟรงเกนสไตน์ มิสเตอร์แจ๊คเกิ้ล และอีกหลายอสูรที่รอคิวมาอาละวาดบนจอเรียกเงินคนดูต่อไป
หนังเดินเรื่องได้สนุกน่าติดตามในช่วงแรก แต่เมื่อเจ้าหญิงออกมาจากโลงศพได้แล้ว ก็เหมือนดูหนังซอมบี้ ผสม Resident Evil แต่ไม่สนุกเท่า คือ มันดูประดักประเดิด จะว่าเจ้าหญิงอาห์มาเนทน่ากลัว โหดร้าย จนน่าขนพองสยองเกล้า ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แถมตอนท้ายเรื่องนางก็ยังตายง่ายไปหน่อย
การต่อสู้ของทอม ครูซ กับตัวผีๆ ทั้งหลายก็ไม่ค่อยลุ้นให้น่าเอาใจช่วยสักเท่าไหร่
ยิ่งกับตัวนางเอกที่แสดงโดย แอนนาเบลล์ วอลลิส ในบทนักโบราณคดีสาวนั้นเหมือนเป็นส่วนเกินของหนังพิกล และดูเคมีจะไปไม่ค่อยได้กับพระเอกทอมเสียเลย
นอกจาก ทอม ครูซ แล้วมีนักแสดงรุ่นใหญ่อีกคนที่ร่วมแสดงด้วยคือ รัสเซล โครว์ ในบท ดร.เฮนรี่ เจกิลล์ ตัวละครป่วยทางจิตสองบุคลิกที่ซัดกับพระเอกจนเหนื่อยไปตามๆ กัน
พี่แกเล่นแล้วเหมือนคนโรคจิตดีจริงๆ
แต่ยอมรับสำหรับงานด้าน CG. ว่าทำได้ดีทีเดียว ซึ่งกับหนังแนวนี้จำเป็นอยู่เองที่จะต้องทุ่มเทงานด้านนี้เป็นสำคัญเพื่อสร้างความสมจริงและความน่าสนใจ แต่ CG. ที่ดีนั้นก็ดูด้อยประโยชน์ลงถ้าบทหนังไม่ได้ช่วยให้หนังสนุกเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่แนวเรื่องเอื้ออยู่ไม่น้อย
The Mummy เรื่องนี้ อุตส่าห์ลุกขึ้นมาจากหลุมได้ แต่ก็ไม่ประทับใจเท่าไหร่ รู้งี้นอนแช่มันในโลงศพไปเรื่อยๆ อาจจะดูดีกว่าเป็นไหนๆ.