
เริ่มตั้งแต่เรื่องแรก ‘Sunset’ ที่เล่าถึงการที่ทหารบุกควบคุมและสั่งรื้อถอนภาพศิลปะที่จัดแสดงในแกลอรี่ ความเปราะบางของอำนาจที่ไม่ได้ได้มาด้วยการยอมรับของประชาชนทำให้ผู้ที่มีปืนในมือต้องทำทุกวิถีทางเพื่อลิดรอนสิทธิการแสดงออก แม้จะเป็นแค่ภาพถ่ายธรรมดาๆก็ตาม นี่น่าจะเป็นเรื่องเดียวในบรรดาทั้ง 4 เรื่อง ที่เล่าเนื้อหาอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีสัญญะอะไรให้ต้องตีความมากนัก

เรื่องที่สอง ‘Catopia’ การล่าแม่มด ทำลายคนที่แตกต่างให้ย่อยยับดับดิ้น ของเมืองที่มีแต่คนหัวแมว และมนุษย์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวกำลังถูกไล่ล่า เป็นประเด็นเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริงเสมอมาโดยตลอด หนังเก็บรายละเอียด CG หัวแมวได้เนี้ยบจนน่าทึ่ง ทั้งยังตลกร้ายกับการเก็บรายละเอียดพฤติกรรมแมวมาใช้ ที่น่าชื่นชมที่สุดคงจะเป็นนักแสดงนำแมวหญิงที่ลงทุนเปลือยกายจริง มีหนังไทยมาไกลเบอร์นี้บ้างก็นับเป็นนิมิตรหมายที่ดี
ยังไม่ทันจะหายเหนื่อย เรื่องที่สามก็เข้ามากระชากอารมณ์ด้วยการเสียดสีแบบ Surreal และ Visual ที่แสนจะฉูดฉาด SI-FI แต่จงใจให้ย้อนยุค (งงมั้ย) ใน ‘Planetarium’ ส่วนตัวแล้วชอบเรื่องนี้ที่สุดในทั้งสี่เรื่อง หนังเล่าถึงการหล่อหลอม การควบคุมทั้งความคิดความเห็น กิจวัตร และการละเมิดสิทธิ ที่เราต่างก็ถูกกระทำมาตลอดทั้งชีวิต เพียงแต่ก็คงรู้สึกอึดอัดมากน้อยไม่เท่ากัน หนังดีไซน์ทุกซีนให้น่าจดจำด้วย CG และภาพที่กระอักกระอ่วนกวนตีน จะมีอะไรจริงยิ่งกว่าการพาคนคิดต่างออกนอกโลกนอกจักรวาลไปทำลายทิ้ง ซึ่งผู้กระทำก็ยังลอยหน้าลอยตาเป็นคนดี เป็นชนชั้นนำที่ปกครองบ้านเมืองต่อไป เป็นหนังที่ตีความต่อได้อย่างสนุกและลึกซึ้ง และทำให้อยากเห็นผลงานของผู้กำกับฯคนนี้ในหนังยาวแบบเต็มๆของเขาสักทีในเร็ววัน

ก่อนที่จะปิดด้วยเรื่องสุดท้าย ‘Song of the city’ ถ้าไม่ใช่แฟนหนังของ เจ้ย อภิชาติพศ์ หรือไม่ใช่คอหนังสายประกวด ก็คงไม่ค่อยถูกจริตกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะหนังเลือกจะแช่ภาพทิ้งนานๆ และค่อยๆเล่าช้าๆ คลอด้วยเพลงชาติที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ในท่ามกลางไซต์งานก่อสร้างที่เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ผู้นำเผด็จการในตำนานอย่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คนที่ตายไปแล้วกว่า 50 ปี ทำไมรู้สึกเหมือนยังไม่ไปไหน และไม่ว่าเราจะยืนอยู่บนซากปรักหักพังแค่ไหน เราก็ยังต้องใช้ชีวิตต่อ ไม่ต่างกับเซลแมนในเรื่องที่มาขายเครื่องช่วยนอนหลับอยู่ตรงอนุสาวรีย์ และการรียูเนียนกันแบบแอบโรแมนติกของโต้งและเก่งจาก ‘สัตว์ประหลาด’

หนังเรื่องนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนแน่ๆ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้อินกับเรื่องความขัดแย้งของสังคม การเมืองตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รวมถึงคนที่ไม่ได้ศึกษาหรือตระหนักถึงความเป็นไปของบ้านเมือง คนที่ไม่เคยรู้สึกอึดอัดกับการถูกลิดรอนสิทธิ นี่คงจะไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในความสนใจของคุณ แต่สำหรับคนที่คิดว่าบ้านเมืองนี้ สังคมนี้เป็นของคุณ(อย่างปฏิเสธไม่ได้) และคุณอึดอึดเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา หนังเรื่องนี้ก็ควรค่าแก่การรับชม อย่างน้อยที่สุดก็มาเป็นประจักษ์พยานร่วมกัน ว่าในอนาคตของเราอีก 10 ปี เราก็จะย่ำอยู่กับที่กันแบบนี้ไม่ไปไหน ตราบใดที่เรายังยินยอมให้คนบางคนมาปล้นอำนาจไปอย่างง่ายดายไม่ต่อสู้ แบบที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้