เมื่อคุณนึกถึงวงดนตรีร็อค คุณจะนึกถึงภาพแบบไหน
เกือบทั้งร้อย คือ ภาพของความดิบเถื่อน สุดโต่งทางดนตรีที่กรีดเสียงกีตาร์ให้บาดไปในหัวใจคนฟัง ที่ขยับชูมือตามคนร้องและคนเล่นดนตรีในชุดหนัง หรือยีนส์ขาดๆ ผมกระเซิงที่สะบัดไปตามจังหวะดนตรีนั้นดูเท่เสียเหลือเกิน
แต่ภาพนี้ใช้ไม่ได้กับวงร็อควงนี้ที่ชื่อ Slot Machine ที่เราจะมาทำความรู้จักกับนักร้องนำของวงที่ชื่อ “เฟิด” และมีชื่อจริงยาวๆ สะกดยากว่า “คาริญญ์ยวัฒ ดุรงค์จิรกานต์”
“ทำไมคุณเลือกใส่สูทผูกไทแทนที่จะเป็นชุดหนังหรือยีนส์”
เฟิดไขข้อข้องใจว่า
“ความเป็นร็อคในนิยามของผมคือคนที่เป็นผู้นำ คนที่เป็นขบถ ดังนั้นสองสิ่งนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เดินคู่กับความสบายโรยด้วยกลีบกุหลาบ การที่คุณจะทำอะไรสวนทางกับคนอื่นมันต้องอาศัยความกล้าหาญ และให้เกียรติตัวเอง ต้องให้กำลังใจตัวเอง ทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเอง มันยากมากที่อยู่ดีๆ จะมีกำลังใจฮึดสู้ขึ้นมาเอง ดังนั้นการใส่สูทของสล็อตแมชชีนก็อยากจะทำลายกำแพงความคิดของคนที่ว่า...วงร็อคก็ต้องใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์”
และนั่นทำให้วง Slot Machine สร้างความแตกต่างดึงความสนใจขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่ความน่าสนใจนั้นต้องรวมถึงงานเพลงของพวกเขาที่เป็นเอกลักษณ์ด้วย
ดังปรากฏผลเป็นการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลง “ผ่าน” “จันทร์เจ้า” “รอ” หรือ “เคลิ้ม”
วงดนตรีที่สร้างตัวเองให้มีชีวิตยืนยาวมาได้ 16 ปีไม่ใช่เรื่องง่าย และมันไม่ง่ายแน่นอนเมื่อปีแรกของการโดดเข้าสู่วงการเพลง พวกเขาได้รับฉายาว่า “ลมตดของวงการ”
“ไม่มีเนื้อด้วยซ้ำ เป็นลมที่มีกลิ่นแป๊ปเดียวแล้วหายไป นี่คือคำนิยามของสล็อตแมชชีน” เฟิดเล่าย้อนความหลังด้วยสีหน้าเรียบๆ และน้ำเสียงเบาๆ ไม่ใช่เพราะมันผ่านมานานแล้ว แต่นี่เป็นบุคลิกอีกแบบหนึ่งของเขาที่ต่างจากบนเวที
“จริงๆ คุณเป็นแบบไหน ?”
“ผมเป็นทั้งสองแบบ มันคือตัวตนของผมในคนละที่”
ตัวตน ของผู้ชายคนนี้คือเด็กนครปฐม พ่อแม่ฐานะปานกลาง จึงมีโอกาสส่งลูกชายไปทดลองเรียนอะไรต่างๆ ที่อยากทำได้ ไม่ว่าจะ ว่ายน้ำ ฟุตบอล ปิงปอง เทนนิส แต่สิ่งที่อยู่กับเขามานานสุดคือ “ศิลปะ”
“ดนตรีนี่ไม่ได้เรียน แต่อาศัยฟังและก๊อปปี้ เรียนรู้เรื่องเพลงจากการฟังวิทยุในรถที่พ่อเปิดตั้งแต่อยู่ ป.5- ป.6 พออยู่มัธยมที่สาธิตมหาวิทยาลัยศิลปากรก็ลุกขึ้นมาตั้งวงกับเพื่อน ก็คือ แก๊ก-อธิราช ปิ่นทอง มือกีตาร์ของวง”
พอแกร่งกล้าขึ้นก็กระโดดไปประกวดเวทีต่างๆ รวมทั้งการประกวดดนตรีดังของวัยรุ่นยุคนั้นคือ Hot Wave Music Award ในตอนที่เรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 5 และคว้าวงชนะเลิศไป และนั่นคือบันไดให้ก้าวสู่นักดนตรีอาชีพ ภายใต้ร่มเงาของ Sony Music
อัลบั้มแรกของเขาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง จะมีเพลงที่คนรู้จักอยู่บ้างก็คือเพลง “รอ”
ที่คนฟังยังไม่รู้เลยว่าใครร้อง ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาและเพื่อนเป็นเหมือนเครื่องบันทึกเสียงเท่านั้น มีโปรดิวเซอร์คิดแนวเพลงให้ มีคนแต่งเพลงให้ โดยมองว่าตลาดน่าจะไปทางไหน ไม่ได้มองตัวตนพวกเขาว่าควรจะทำเพลงแบบไหน เรียกว่าไม่มีส่วนร่วมในผลงานตนเองเลย นั่นจึงเป็นที่มาของฉายา “ลมตดของวงการ”
หากเป็นคนอื่นอาจจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่เฟิดบอกว่า...ไม่
“คือเรามีอีโก้สูง ยึดติดกับความคิดที่ว่า เราต้องไม่ยอมแพ้ เราต้องกลับมาเอาชนะคำดูถูกเหยียดหยามตรงนี้ให้ได้ มันจึงเป็นที่มาของชุดที่ 2 ที่ชื่อ “มิวเทชั่น” ซึ่งชุดนี้ก็คิดเอง ทำเอง วางคอนเซ็ปต์เอง ทุกอย่างเหมือนมันกลับมาตอบว่า...พวกคุณตัดสินเราเร็วเกินไป...ตั้งแต่ชื่ออัลบั้ม มิวเทชั่นแปลว่าการกลายพันธุ์ กลายพันธุ์จากวงเดิมที่คุณตีตราว่าเป็นลมตดแห่งวงการ คือคนเริ่มเห็นตัวตนและยอมรับ ก็เป็นกำลังใจกลายๆ เหมือนบอกกับตัวเองว่า...เห็นไหม พอเราได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อ ที่เราชอบ มันมีคนเชื่อ มันก็ได้นี่...มันก็เลยทำให้มีกำลังใจขึ้นมา”
จากนั้น Slot Machine ก็มีเพลงออกมาอีกหลายชุด โดยกลั่นกรองมาจากความเชื่อของพวกเขา และไปโดนใจคนฟังส่วนหนึ่งไม่น้อย เพลงที่ต้องเล่นประจำเวลาไปแสดงก็คือเพลง “จันทร์เจ้า” เพลง “ผ่าน” ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกเพลงไม่ดังมาเล่นด้วยทุกครั้ง
“มันจะเป็นเพลงจำพวกหน้า B เช่น เพลงที่ชื่อ ฝันกลางวัน เพลงฤดู เรามาอย่างสันติ คือเพลงที่มันไม่พูดเรื่องแมส พูดเรื่องลึกๆ หนักๆ ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้ผมยังมี passion ยังมีแรงสู้ความท้าทายนี้ให้ไปต่อก็คือ การทำเพลงพวกอย่างนี้ให้เป็นเพลงแมสให้ได้”
ความคิดที่เป็นตัวตนนี้มีที่มาจากการเป็น “คนศิลปะ” ของเขาที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่เด็ก เฟิดพบว่าศิลปะก็คือธรรมชาติ ศาสนาก็มีแก่นมาจากธรรมชาติ และเขาเป็นคนที่ชอบศึกษาศาสนาด้วย
“ศาสนาที่ผมศึกษามากคือศาสนาพุทธ แต่ก็พยายามจะศึกษาทุกศาสนา เพราะผมอยากเข้าใจคน เข้าใจความคิดของคน ผมรู้สึกว่าผมเชื่อพระพุทธเจ้าตรงที่ท่านบอกว่า “จงอย่าเชื่อใคร” ผมชอบตรงนี้มากเลย เพราะศาสนาอื่นก็ไม่มีใครพูดแบบนี้ แต่ท่านเป็นบุคคลเดียวที่บอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อเรา ไปพิสูจน์เอง นี่แหละที่ทำให้ผมโคตรเชื่อ เป็นโฆษณาที่แข็งแรงมาก ที่เหลือผมก็ศึกษาต่อจากคำนี้เลย”
“อีกสิ่งที่ผมได้คือ ครูที่ดีที่สุดคือความทุกข์”
“เพราะผมรู้สึกว่าในความทุกข์มีความสุข ความทุกข์มันเหมือนก้อนดำๆ ก้อนหนึ่ง พอเราเจาะข้างไปข้างในเราจะพบความสุขก้อนขาวๆ อยู่ข้างใน อันนี้ผมได้สัจธรรมมาจากการแสดงดนตรีบนเวที ทำไมผมถึงต้องใส่แว่นดำ เพราะคนที่ไม่อยู่บนเวทีจะไม่รู้ว่าแสงไฟมันส่องเข้าหน้ามันแรงขนาดไหน ผมค้นพบว่าเมื่อไฟส่องเข้าหน้ามันทำให้เรามองไม่เห็นอะไรเลย ทั้งที่ไฟมันให้แสงสว่าง แต่เมื่อใดที่มันส่องเข้าหน้าเรา มันจะให้ความมืดดำ”
แล้วถ้าถามถึงความสุขจากการทำงาน เขาตอบว่า
“ผมรู้สึกว่า ผมได้มีโอกาสทำโน่นทำนี่มาหลายอย่างตั้งแต่เด็ก สำหรับงานเพลงมันเหมือนกับผมทำสิ่งนี้เป็นเลิศ สิ่งนี้คือสิ่งที่เกิดมาชาตินี้แล้วผมทำได้ดีที่สุด แล้วก็จับตรงนี้ให้มั่น แล้วก็เหลาให้แหลมคม แล้วก็ทำมันอย่างเดียว นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมผมถึงยังรักตรงนี้อยู่ เพราะผมรู้ว่าถ้าผมไม่ทำตรงนี้แล้วไปทำอย่างอื่นผมก็ไม่เจริญเท่านี้หรอก ผมรู้สึกว่าเวลาในชีวิตมันสั้น มันไม่พอที่จะทำอะไรหลายๆ อย่าง ดังนั้นจงทำสิ่งที่เลือกให้ดีที่สุด”
จะดีที่สุดหรือไม่ นอกจากแฟนๆ ผลงานของเขาจะเป็นคนสะท้อนผลลัพธ์ให้ชัดขึ้นแล้ว ตัวของเขาเองก็จะรู้ดียิ่งกว่าใครๆว่า เขาทำออกมาได้ดีที่สุดแล้วหรือยัง
และเราเชื่อว่า ไม่ว่าเวลาสำหรับผู้ชายคนนี้จะทอดยาวไปอีกแค่ไหน แต่เขาได้
ค้นพบสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตแล้ว จากคำพูดทิ้งท้ายการสัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงความมุ่งมั่นหนักแน่นเต็มเปี่ยมว่า
“สำหรับผม ผมค้นพบตัวเองแล้วว่านี่คือคำตอบสุดท้ายแล้ว ดังนั้นจงจับมันให้มั่น แล้วเหยียบให้มิด”
Slot machine เครื่องนี้จะหมุนผลลัพธ์ออกมาที่หน้าใดไม่มีใครรู้ เพราะตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เราก็ยังคงต้อง “โยก” และ “ลุ้น” มันต่อไปด้วยศรัทธาที่มุ่งมั่นนั่นเอง