ตอนที่ได้สัมภาษณ์ คุณอนุพล ลิขิตพฤกษ์ไพศาล CEO ของ Benz BKK Group ตัวแทนจำหน่ายรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ นิสสัน มาสด้า รายใหญ่ของประเทศ ยังไม่เกิดภาวะโควิด-19 ถ้าเช่นนี้เราคงได้ทราบถึงความเห็นดีดีจากผู้ชายคนนี้ที่ขอเรียกแบบกันเองว่า “เฮียตง”
เพราะในแง่การทำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถ ที่ต้องรบกับกำลังซื้อที่ถดถอยของคนในประเทศ ต้องรบกับ “รถไฟฟ้า” ที่จะมาแทนรถใช้น้ำมันที่เขาจำหน่ายอยู่ก็หนักพอแรงแล้ว แต่หากได้คุยกับเขาอีกถึงภาวะไวรัสร้ายนี้ เชื่อว่าสิ่งที่จะเป็นคำตอบถึงทางรอดจากเขาก็คือ “คน”
การให้ความสำคัญกับเรื่องของคนมีรายละเอียดย่างไร นี่คือเรื่องที่คุณจะได้อ่านจากบทความนี้
“เบนซ์มีโครงการสร้างคนร่วมกับสถาบันต่างๆ ที่เป็นพวกอาชีวะศึกษา ขณะเดียวกันตัวเราเองก็มองว่าเราต้องสร้างคนอย่างยั่งยืน เราเชื่อว่าไม่มีใครอยู่กับเราตลอดชีวิต ถ้าคุณจะอยู่นั่นแสดงว่าคุณต้องเติบโตอย่างมั่นคง ผมก็ต้องคุยกับเขาถึงอนาคต คนอยากรวยแต่ขี้เกียจมีที่ไหนในโลก คุณอยากรวยแต่ไม่อ่านหนังสือแล้วจะเอาที่ไหนมาพัฒนา นี่คือวิธีทำงานของผม ผมก็มีเป้าหมายของผม ในชีวิตผมฝันว่าผมต้องบริหารคนเป็นหมื่นคนได้”
ในวันนี้ที่ทำธุรกิจมา 28 ปีองค์กรของเขาก็มีพนักงานหลายพันคนแล้ว
การที่ต้องดูแลคนจำนวนมากๆนั้น อาจจะเป็นยาขมของบางคน แต่กับเฮียตงแล้ว เขามีความสุขที่ได้ทำ พนักงานที่ผ่านการสัมภาษณ์ตามระบบจนได้เข้าทำงานแล้ว เขาจะเรียกให้มาคุยกับซีอีโอคือตัวเขาด้วย
เขาคุยเพื่อจะทำความรู้จักพนักงานให้ลึกซึ้ง และสอนวิธีคิด วิธีวางตัว และหนทางสู่ความสำเร็จของชีวิต
“ผมนิยามตัวเองว่าเป็นผู้บริหารเท่ากับเป็นผู้ปกครอง ผมก็สอนเค้าไปตรงๆ เด็กพวกนี้บางคนก็ไม่ชอบฟัง พ่อแม่ไม่ได้สั่งสอน เพราะไม่มีเวลาสอน ลูกเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้วก็เติบโตแบบหัวหางไปคนละทาง ผมก็ต้องทำหน้าที่เป็นพ่อแม่ให้เค้า สอนตั้งแต่จิตสำนึก กริยามารยาท วัฒนธรรมที่ถูกต้องของการเป็นคนไทย สวัสดี ไหว้ ยิ้ม ในหนึ่งปีผมจะพูดกับเด็กพวกนี้ 3-4 ครั้ง เช่น วันเกิดผม วันปีใหม่วันสงกรานต์ ซึ่งสงกรานต์ผมจะพูดให้กลับบ้าน มึงอย่าเที่ยวนะ จะกลับไปแบบเป็นศพ หรือจะกลับไปให้พ่อแม่กอด เลือกเอา คือผมจะพูดตรงๆ เพราะวันนี้เค้าบอกให้ speak by your heart, talk by you felling”
สิ่งหนึ่งที่เขาสอนพนักงานหรือคนในครอบครัวเสมอคือ ให้รักครอบครัวและเชื่อฟังพ่อแม่ ที่เป็นเช่นนี้อาจจะมาจากพื้นฐานครอบครัวของเขาเอง ที่มีพี่น้องถึง 14 คน และเขาเป็นลูกคนสุดท้าย
ครอบครัวเขาเป็นคนจีนมาจากโพ้นทะเลจริงๆ พ่อมีอาชีพค้าขายหมูและประมง เขาต้องช่วยพ่อทำงานตั้งแต่อายุ 11 ปี และด้วยปมขัดแย้งทางธุรกิจ วันหนึ่งพ่อของเขาก็ถูกยิงตายต่อหน้าต่อตาเขา
เขาแค้นมาก ตอนนั้นตั้งใจเลยว่าโตขึ้นอยากเรียนการปกครอง อยากเป็นายอำเภอกลับมาปราบไอ้พวกคนเลว แต่เขาก็ไม่ได้เรียนอย่างที่ตั้งใจ สิ่งที่เขาเรียนคือคอมพิวเตอร์ที่ออสเตรเลีย พอกลับมาเมืองไทยก็มาทำงานที่บริษัท สหวิริยา จำกัด เงินเดือนสูง และมีความสุขกับการทำงาน
วันหนึ่งก็มี Head Hunter มาชวนให้เปลี่ยนที่ทำงาน นั่นคือ “แม่เขาเอง”
“แม่ได้รับการทาบทาบจากบริษัท หรือคุณเหรียญชัย พี่ชายของผม เค้าบอกว่า แม่ ไปบอกตงให้ลาออกแล้วมาทำงานกับผมที แล้วแม่ก็โทรมาบอกว่า เฮียเค้าให้ม้ามาทาบทาม ม้าก็คิดว่าเป็นเวลาที่สมควรแล้วจะ ช่วยคนอื่นรวยทำไม มาช่วยให้ตัวเองและครอบครัวยิ่งใหญ่ไม่ดีกว่าหรือ แม่รู้ว่าลูกแม่ทำได้” ผมตอบเลย ครับ เพราะผมไม่เคย say No กับแม่ หลังจากวันนั้นผมก็ไปลาออก”
บริษัทของครอบครัวที่มีพี่ชายเป็นหัวเรือใหญ่ทำธุรกิจรถนำเข้า ช่วงแรกของการทำงานของเขายังไม่ประสบผลสำเร็จ จนจับพลัดจับพลูได้มาเป็นดีลเลอร์เบนซ์ คราวนี้เขาก็กลายเป็นดาวจรัสแสง ปีแรกขายได้ 750 คัน
“ต้องขอบคุณพี่ชายผมที่เชื่อและให้ผมเป็นผู้จัดการ ผมก็บู๊ล้างผลาญ มีความ
เป็น leadership สูง เพราะผมเคยเป็นประธานนักเรียน ดังนั้นผมก็เอาตำราที่เคยเรียนทั้งหมดมาประยุกต์ใช้ใหม่ ผมถึงบอกว่าแม้ว่าเราจะเรียนจบแล้ว แต่ในชีวิตทุกวันผมต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ผมก็เอาทุกตำรามาใช้กับการทำงาน เคยมีวันหนึ่งพนักงานทั้งหมด 30 คนตบเท้าลาออก เพราะเค้าคิดว่าเค้าเก่งกว่าผม ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเค้าไม่ยอมรับผู้นำ เราหาก็ใหม่ ก็สู้แบบนี้แหละครับ เขียนปรัชญาองค์กรซึ่งใช้มาจนทุกวันนี้”
เมื่อถามถึงหลักปรัชญาที่ว่าคืออะไร เขาตอบว่า
“เราใช้ M Power คน เราให้เกียรติคน เราเชื่อว่าทุกคนเป็นคนที่มีคุณค่า ตรงนี้มันมาจากประสบการณ์ของผม เพราะธุรกิจของเรามันใช้คนในการขับเคลื่อน เพราะเราต้องขาย ดังนั้นข้อที่หนึ่งเลยเราต้องเคารพซึ่งกันและกัน เราจะมองท่านเปรียบเสมือนหนึ่งญาติพี่น้องของเรา เราเชื่อเรื่องการศึกษา การพัฒนา การมอบอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนอยากได้”
จากยอดขายที่ทำได้ตามเป้าของบริษัทแม่มาโดยตลอด คงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าทำไมจึงได้รับเลือกจากบริษัทระดับโลกให้เป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เมื่อจะขาย คนขายต้องทำอย่างไรจึงจะขายได้
“อันดับแรกต้องขายตัวเองก่อน ตัวเองมีของไหม อย่าลืมว่าคนที่ซื้อของของเราเค้าเป็นคนระดับไหน ไม่ใช่ใครๆ ก็ไปขายของเขาได้ แสดงว่าเราต้องมีดีพอที่เขาอยากจะซื้อของด้วย สองก็คือเรามี product knowledge ไหม เรามีความรู้เรื่อง biography ของลูกค้าไหม เพศหญิง ชาย ต่างๆ เป็นใคร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เสร็จแล้วบางคนอยู่บริษัทกับไม่มีความรู้เกี่ยวกับบริษัทเลย บริษัทตั้งมากี่ปี ใครเป็นใคร ช่วงไหนมีเหตุการณ์อะไรสำคัญ สิ่งเหล่านี้ผู้บริหารต้องนำมาถ่ายทอดให้พนักงานรู้ การไม่ถ่ายทอดมันทำให้ไม่มีความรู้สึกร่วม ไม่เกิดความรักองค์กร”
“แม้กระทั่งเรื่องที่บ้าน ผมอยากให้ลูกผมรักอากง ผมเลยไปทำรูปพ่อแม่มาใหม่
ภรรยาผมถามว่าจะทำไปทำไม ผมบอกว่าทำเพื่อยกระดับครอบครัว เพราะรูปที่เราเคยมีมันเป็นรูปงานศพ แต่นี่เราไปจ้างศิลปิน วาดรูปนั่งทำงานด้วยกัน จ่ายเงินไปหลายหมื่นบาท เพราะผมอยากเอารูปพ่อแม่ของผมให้ลูกเห็นว่าท่านยังมีชีวิต ที่เป็นสี ที่เป็นรอยยิ้ม ที่มีความสดใส เพื่อให้ลูกเกิดความรู้สึกร่วมของความเป็นครอบครัว เหมือนได้อยู่กับตากับยาย กับปู่กับย่า ให้รู้สึกว่าชาติตระกูลเรามีตัวตนนะ นี่ไง ผมคิดเยอะไหม”
นอกจากสอนเรื่องงานแล้ว เขายังดูแลพนักงานเหมือนคนในครอบครัว หลายคนเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แต่ไต่เต้าขึ้นมาจนสำเร็จได้
“บริษัทเราไม่ได้จ้างคนแพง แต่เราให้โอกาสคน เช่น เราสร้างตั้งแต่คุณจบ ปวท.มีตั้งแต่จบ ม.3 เข้า ปวช. เข้าโครงการของเบนซ์ เราให้ทุนการศึกษา เรียนจนจบ เลี้ยงต้อยเด็กเลย พอจบปุ๊บก็ทำงานกับเรา ระหว่างทำงานก็เรียนปริญญาตรีไปด้วย พอเรียนปริญญาตรีจบเค้าก็อยากจะถ่ายรูปกับเจ้าของด้วยนะ ผมก็ไปถ่ายกับเค้า แล้วก็ฟังเค้าว่าเค้าคิดอย่างไร เค้าก็บอกว่า...เห็นนายตั้งแต่วันที่นายไปรับเด็กจากสถาบัน”
แม้แต่บางคนที่เจ็บป่วยหนัก ชนิดที่บางบริษัทต้องให้ออกเพราะทำงานไม่ได้ แต่สำหรับเขา เขาจัดการเรื่องนี้อย่างไร
“อย่างมีคนหนึ่งคนหนึ่งที่นี่ต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 3 วัน ก็แทบจะไม่มีแรงทำงานแล้ว ถ้าคนนี้ถูกให้ออก ไปอยู่บ้าน เค้าจะเป็นปัญหาทางสังคม เป็นคนป่วย ครอบครัวก็จะลำบาก แต่ว่าเค้าทำงานกับผมมาเป็นสิบปี ผมก็ถามว่าสู้ไหม เค้าบอกว่าสู้ ผมช่วยจนยื้อชีวิตกลับมา 2 ครั้ง ผมก็รายงานต่อบอร์ดว่าเรามีคนแบบนี้ บอร์ดก็ถามว่าจะเก็บไว้หรือ ผมก็บอกว่าถ้าเค้าทำได้ จิตใจเข้มแข็ง จิตมันใหญ่กว่าร่างกาย ก็ควรให้โอกาสเขา เชื่อไหมทุกวันนี้เค้านั่งเป็นผู้จัดการฝ่ายดูแลเรื่อง business development เค้าก็ทำให้ผมได้”
ไม่แต่ความรู้ทางโลกเท่านั้นที่เขาสนใจ แต่เขาให้ความสำคัญกับความรู้ทางธรรมด้วย
“ผมมักจะสอนลูก สอนลูกน้อง ผมว่า จงทำดีทุกวัน และเมื่อทำดีทุกวันสิ่งดีๆ มาคุณจะได้ไม่พลาด ต้องทำอย่างมีสติ รู้จักคิด อยากให้ดูคนญี่ปุ่นเป็นหลัก คือ simple living, simple life, simple eating แค่นี้ครับ นั่นก็คือเศรษฐกิจพอเพียง และเศรษฐกิจพอเพียงความจริงแล้วก็คือศีล สมาธิ ปัญญา”
“ในตำราโลกวิฑูรกล่าวเอาไว้ ถ้าอยากอยู่ให้รอดต้องถือศีล สมาธิ ปัญญา ต้องอยู่แบบรู้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมเกิดสติ พอมีสติเราก็จะไม่ประมาท”
“ผมมีคำหนึ่งนะ คนรู้ไม่ตาย คนตายไม่รู้ ประโยคนี้มันจริงที่สุด คือคนที่ตายคือใช้ชีวิตแบบไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน เรื่องการใช้ เรื่องกิน แต่คนที่รู้เค้าก็เดินสายกลาง ดังนั้นเค้าก็อยู่ได้สบาย เรื่องของธุรกิจก็เชนเดียวกัน เราไม่ใช้เงินเกินตัว ไม่ลงทุนเกินตัว ไม่ทำอะไรเกินตัว”
อย่างที่จั่วหัวไว้ตอนต้นว่า แม้จะไม่ได้คุยกับคุณอนุพลในห้วงของโควิด- 19
แต่หากเขาดำรงตนและใช้ชีวิตแบบมีสติ ไม่ประมาท ไม่เกินตัวเช่นนี้ เราก็คิดว่า CEO แห่ง Benz BKK Group คนนี้คงนำพาพนักงานนับพันๆ คนของเขาให้อยู่รอดไปด้วยกันได้แน่นอน
เพราะเขาได้พิสูจน์จากการกระทำมาตลอดว่า “คน” คือ ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของเขา