3 วันต่อมา เล็กก็ติดต่อไปหาพี่ติ๊ก เพื่อขอใช้หนี้แทนฉัน คิดเป็นเงินไทยก็เป็นแสนอยู่นะ เธอบอกว่าที่ต้องใช้หนี้ให้ เพราะไม่อยากให้ฉันมีปัญหากับพวกแม่แท็กในญี่ปุ่น เพราะแต่ละคนไม่ธรรมดา มีแต่โหดๆ ได้ผัวเป็นไอ้กอทั้งนั้น ยิ่งถ้าฉันหายไปแบบนี้ มีหวังได้ถูกตามล่าและอาจถูกขายทอดต่อไปเรื่อยๆ
เล็กบอกว่าที่ญี่ปุ่นไม่ได้สวยงามอย่างที่พวกเราเคยคิด โดยเฉพาะวงการกลางคืน มีผู้หญิงไทยหลายคนที่หนีแท็กแล้วถูกจับได้ ก็จะถูกขายลงซ่อง หรือแม่แท็กบางคนที่แค้นจัด ไม่อยากได้เงินคืนแต่อยากได้ชีวิต ก็จะว่าจ้างพวกไอ้กอออกตามล่าแล้วฆ่าทิ้งโยนลงเขา ลงทะเลอย่างโหดเหี้ยม
หนึ่งอาทิตย์ที่อยู่กับเล็ก ชีวิตประจำวันของพวกเราก็ไม่มีอะไรมาก คือกลางวันไปนั่งเล่นปาชิงโกะ ตอนกลางคืนดื่มเหล้าร้องเพลงตามคาราโอเกะที่เพื่อนๆ เธอทำงาน บางวันเล็กก็พาฉันเข้าบ่อน ไปนั่งเฝ้าดูเธอเล่นไพ่ เล่นถั่วหยิบ แต่ละครั้งเล่นได้เสียไม่ใช่เงินน้อยๆ หลายหมื่นถึงหลักแสน
ตั้งแต่เล็กมาอยู่ญี่ปุ่น ฉันรู้สึกว่าชีวิตเธอเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก จากที่เคยเป็นเด็กวัยรุ่นใสๆ ถึงแม้จะขายตัว เที่ยวเธคเที่ยวผับแทบทุกคืน แต่ก็ไม่เคยเห็นเธอดื่มเหล้า สูบบุหรี่แม้แต่ครั้งเดียว แต่วันนี้ไม่อยากเชื่อว่าเล็กติดทุกอย่าง ทั้งสูบ ทั้งดื่ม เข้าบ่อน แถมยังเปรยๆ ให้ฟังอีกว่ากำลังติดผู้ชายไทยคนหนึ่งที่ขึ้นมาทำงานบาร์โฮสต์ ก็คือขายบริการไม่ต่างจากพวกเรา
ตอนนั้นฉันไม่รู้ความหมายของพวกยากูซ่าหรอกว่าเป็นใคร มาจากไหน หรือมีหน้าที่การงานอะไรกันแน่ ไม่รู้แม้แต่เรื่องอิทธิพลความยิ่งใหญ่ว่าโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดไหน เพราะครั้งแรกที่เล็กแนะนำให้ฉันรู้จักแฟนเธอ เขาก็เป็นคนยิ้มแย้มดูใจดีมีน้ำใจกับฉันอยู่นะ
วันหนึ่งเล็กพาฉันไปเที่ยวที่ร้านสแน็กแห่งหนึ่งอยู่ในเมืองนากาโน่ เป็นร้านคาราโอเกะเล็กๆ ที่เธอเคยทำงานเป็นเด็กแท็กอยู่ที่นี่มาก่อน ร้านนี้มีผู้หญิงไทยทำงาน 3 คน และสาวจีนไต้หวันอีก 3-4 คน เมื่อเข้าไปในร้าน เล็กก็แนะนำให้ฉันรู้จักเพื่อนสนิทของเธอ ชื่อตุ๊กตา เป็นเด็กสาวชาวใต้ หน้าตาสวยใส ผิวขาวออกแนวหมวยๆ แลดูเป็นลูกผู้ดี อายุเพิ่งจะ 17 ปีเอง แต่ดูท่าทางเก่งเก๋าเอาเรื่องอยู่นะ
ตุ๊กตาก็ไม่ต่างจากเล็ก คือทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ฉันเห็นแล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า อีเด็กคนนี้คงจะเป็นเด็กใจแตกแสบไม่เบา เพราะ 17 มึงก็ขายตัวแล้ว งั้นแสดงว่าคงเสียตัวตั้งแต่ 15 -16 หรืออาจน้อยกว่านั้น แต่ที่น่าสนใจก็คือ เด็กวัยรุ่นพวกนี้มาขายตัวที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร ถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาตให้ทำหนังสือเดินทาง
ขณะที่เล็กกับตุ๊กตากำลังนั่งเม้ามอยกันอย่างเมามันส์ เหมือนไม่ได้เจอกันมาทั้งชีวิต ฉันก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลงญี่ปุ่นด้วยสำเนียงไพเราะเพราะมากราวกับเป็นเจ้าของภาษา และด้วยความน่าสนใจจึงทำให้ฉันต้องหันไปมองหน้าเธอว่าเป็นคนไทยหรือคนญี่ปุ่นกันแน่
ขณะเดียวกันเจ้าของเสียงเพลงซึ่งอยู่ในชุดราตรียาวทรงสุ่ม คล้ายชุดอารีดังประจำชาติเกาหลีก็หันมาทางฉันพอดี ทันใดนั้นฉันก็ต้องตะลึงความสวยของเธอและเดาว่าน่าจะเป็นคนเกาหลีแน่เลย แต่พอมองดูดีๆ ก็เริ่มรู้สึกคุ้นหน้ามากเหมือนใครคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก
แล้วฉันก็ไม่อยากเชื่อว่าโลกมันจะกลมอะไรขนาดนี้อีกแล้ว แต่เพื่อความแน่ใจ จึงรีบหันไปถามเล็ก
“อีเล็กมึงดูซิว่านั่นใช่อีต่ายมั้ยวะ?”
“เอออ…ใช่ๆๆ อีต่ายนี่หว่า”
“มึงรู้จักอีต๊องด้วยเหรอวะ…อีนี่มันชื่อโนริ” ตุ๊กตาถามด้วยความสงสัย
ความตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า จนฉันไม่อาจรอให้นังต่ายร้องเพลงจบ จึงแหกปากเรียกชื่อมันอย่างดังลั่น
“อีต่าย…”
ต่ายหันมามองฉันโดยที่ไม่มีท่าทีตื่นเต้นดีใจใดๆ แต่ยังคงถือไมค์โคโฟนแหกปากร้องเพลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาทำจุ๊ๆ ที่ปาก ประมาณว่ามันเห็นเราสองคนแล้ว แต่รอให้ร้องเพลงจบก่อน กระทั่งเพลงจบ ต่ายก็เดินลากชุดราตรียาวมาทักทายฉันกับเล็ก
“พวกมึงมาที่นี่ได้ไงวะ?” ต่ายถาม
“มึงนั่นแหละอีต่าย มาโผล่ที่นี่ได้ไง” เล็กถามกลับ
“อย่าเสียงดังซิ อีนี่…กูหนีแท็กมา” ต่ายกระซิบตอบเบาๆ
“โอ้โห…อีต่ายมึงนี่ใจกล้าเน้อ ขนาดมาครั้งแรกนะเนี่ย!” ฉันทึ่งในความกล้าของต่าย
“ใครบอกล่ะ กูเคยมารอบนึงแล้วโว้ย!” ต่ายตอบแบบซื่อๆ
ฉันเพิ่งรู้ความจริงจากปากของต่าย ว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เธอเคยมาอยู่ญี่ปุ่นนานถึง 4 ปีกว่า แต่ดวงซวยโดนตำรวจจับส่งกลับไทย จากนั้นเธอก็พยายามดิ้นรนหาแท็กไปญี่ปุ่นอีกแต่ไม่สำเร็จ กระทั่งมาเจอฉันนี่แหละที่ตกเป็นเหยื่อโดนนังต่ายต้มซะสุก หลงพามันมาด้วย
วันนั้นพวกเรา 4 คนนั่งคุยนู่นนี่นั่นกันไปเรื่อยเปื่อย โดยทุกคนต่างก็ระบายปัญหาปรับทุกข์ซึ่งกันและกัน แล้วจู่ๆ พวกเราก็เกิดความคิดอยากไปอยู่ที่โตเกียว จึงชักชวนกันไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยมีนังต่ายเป็นตัวตั้งตัวตีและพูดจนพวกเราคล้อยตาม
ต่ายบอกว่าที่โตเกียวเจริญมาก มีร้านแสน็กหรูๆ ให้พวกเราเลือกทำงานเยอะแยะ ลูกค้าก็สะอาดสะอ้าน ดูดี รายได้ก็ดีกว่าอยู่บ้านนอกที่มีแต่พวกมาเฟียท้องถิ่นและพวกแขกชาวนาขี้เมา แถมค่าตัวก็ถูกกว่า…ก็จริงอย่างที่ต่ายว่านะ
เล็กให้เหตุผลว่า เธอเองก็เบื่อผัวไอ้กอเต็มที เพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่เป็นอิสระ อีกทั้งวัยก็ห่างไกลกันมาก หลายครั้งที่เธอคิดอยากหนี แต่ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนกับใคร เพราะไม่รู้จักใครในโตเกียว พอมาเจอต่ายพูดแบบนี้เล็กก็เกิดมีไฟอยากไปซะคืนนี้เลย
ต่ายสารภาพกับพวกเราตรงๆ ว่า ที่มาญี่ปุ่นครั้งนี้ตั้งใจหนีแท็กโดยเฉพาะ เธอบอกว่ารู้จักญี่ปุ่นดีแล้ว แล้วทำไมต้องมานั่งใช้หนี้ตั้งหลายแสน ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถทำงานอยู่กับที่ได้นานๆ ถ้าเจอคนรู้จักก็ต้องหนีต่อไปเรื่อยๆ หรือไปอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ห่างไกลจากเมืองนากาโน่และไม่รู้จักใครเลย
ต่ายบอกว่าเธอยังพอมีเพื่อนเก่าหลายคนทำงานอยู่ที่โตเกียว ถ้าไปถึงที่หมายแล้ว เธอจะโทรศัพท์ไปหาเพื่อนๆ เพื่อให้ช่วยฝากงานและหาที่พักอาศัยให้ รับรองว่ามีงานให้ทำแน่นอน
ตุ๊กตาก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยที่จะไปอยู่โตเกียว เธอบ่นว่าเบื่อชีวิตบ้านนอกที่นากาโน่เต็มที ที่ต้องเจอแต่แขกกลุ่มเดิมๆ วนเวียนกันมาใช้บริการจนจะครบทั้งตำบลอยู่แล้ว เธอใฝ่ฝันว่าอยากไปอยู่โตเกียว อยากไปเที่ยวฮาราจุกุ คือถนนในตำนานของพวกวัยรุ่นสายพังค์
เมื่อทุกคนลงความเห็นว่าจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่โตเกียวด้วยกันแน่นอน เล็กเองก็อยากหนีผัวไอ้กอไปสู่อิสภาพตั้งนานแล้ว วันนี้โอกาสมาถึงเธอแล้ว จะรออะไรล่ะ ก็พากันเผ่นซะคืนนี้เลย
คืนนั้นพวกเรานัดแนะกันว่า หลังตี 1 ร้านเลิกแล้ว ให้ทุกคนไปเจอกันที่สถานีรถไฟนากาโน่ในเวลาไม่เกินตี 2 จากนั้นพวกเราต่างก็แยกย้ายกันไป เล็กพาฉันกลับห้องพัก เก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเตรียมตัวหนีผัวไอ้กอไปตายเอาดาบหน้าที่โตเกียว
ขณะเก็บเสื้อผ้าฉันรู้สึกตื่นเต้นตลอด ใจคอไม่ค่อยดี เหมือนเรากำลังหลบหนีความผิดอะไรสักอย่าง ทั้งที่ฉันก็ไม่ได้ทำความผิดอะไร และไม่จำเป็นต้องหนีใคร แต่เมื่อมาลงเรือลำเดียวกันแล้วฉันจะทิ้งเพื่อนได้อย่างไร ก็ต้องพากันหนีเอาชีวิตให้รอดไปด้วยกัน
“อีเล็กถ้าผัวมึงมาตอนนี้ กูจะซวยไปด้วยมั้ยเนี่ย?”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“แล้วมันจะทำอะไรพวกเราวะ?”
“มันต้องฆ่าพวกเราแน่ มึงอย่าทิ้งกูนะหนิง”
เล็กพูดจบ ก็รีบเก็บกระเป๋าอย่างเร่งรีบ แต่ฉันซิ มีความวิตกกังวลตลอดเวลา และมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี ยิ่งได้ยินเล็กยืนยันว่ายังไงก็ต้องซวยด้วยกัน ฉันเริ่มคิดหนักว่านี่กูหาเห่าใส่หัวหรือเปล่าที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
วินาทีนั้นคำสอนของพี่ติ๊กวิ่งเข้ามาในหัวฉันทันที ว่าอยู่ที่ญี่ปุ่นต้องไม่เข้าไปยุ่งกับพวกไอ้กอเด็ดขาด เพราะไอ้พวกนี้นิสัยอันธพาล จะทำให้เราอยู่ไม่เป็นสุข
“มึงไม่ต้องขนเสื้อผ้าไปหมดหรอกหนิง เอาไปแค่ 3-4 ชุดก็พอ”
“จะให้กูทิ้งได้ไง ของกูเพิ่งซื้อมาทั้งนั้น”
“เอาน่า เดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่ กูอยากไปแต่ตัว ไม่งั้นมันจะรู้ว่าพวกเราหนี”
“นี่มึงกลัวมันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ฉันดูท่าว่าเล็กจะกลัวผัวมาก ทั้งที่ตอนอยู่ด้วยกันดูเหมือนเธอจะรักมันมาก แต่เล็กบอกที่ต้องแสดงไปอย่างนั้นก็เพื่อความอยู่รอด เพราะมันเป็นคนขี้หึงมาก เคยตบตีเธอแล้วขู่ว่า ถ้าคิดไปจากมัน มันจะฆ่าให้ตาย เล็กบอกว่าทุกวินาทีเธออยากหนีไปให้ไกล แต่กลัวไปไม่รอด กระทั่งมาเจอฉัน เธอจึงมีแรงกระตุ้นกล้าที่จะหนีอีกครั้ง