ขณะที่ฉันกำลังนั่งก้มหน้าเล่นไพ่เพลินๆ จนเวลาล่วงเลยมาถึงตี 4 จู่ๆ ฉันก็เหลือบไปเห็นพี่พรเดินเข้ามาในบ่อนด้วยอาการสะลึมสะลือ เพราะเบลอยาเมาเหมือนเช่นทุกๆ คืน เธอกำลังยืนหันซ้ายหันขวาคล้ายจะหาที่ลงนั่ง แล้วเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ภายในบ่อนก็ดังขึ้น
“อีผีข้างบ่อนนี่มาอีกแล้ว” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น
“นี่ขนาดมันท้องได้ 5 เดือนกว่าแล้วนะ แม่งยังไม่เลิกแดกยาเมาอีก!” ตามมาด้วยหญิงอีกคนหนึ่ง
ฉันรู้สึกไม่ชอบใจที่ได้ยินพวกเธอวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น เพราะอย่างน้อยพี่พรก็เป็นเพื่อนฉันคนหนึ่ง แต่ประโยคที่ฟังแล้วต้องสะดุ้งสุดๆ ก็ตรงที่ว่าเธอตั้งท้องได้ 4-5 เดือนแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ในเมื่อฉันเห็นเธอออกไปยืนจับแขกเกือบทุกคืนก็ไม่เห็นว่าท้องโตและเธอก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ฉันรู้
เมื่อสอบถามคนในบ่อนจึงได้ความมาว่า พี่พรจะเข้ามาในบ่อนเฉพาะวันที่ไม่ได้แขกและจะมาช่วงใกล้สว่าง เพื่อมาขออาศัยหลับนอนและขออาบน้ำ บางครั้งก็มีพวกนักเล่นที่มีอาการเมื่อยล้าจ้างวานให้เธอบีบนวด บางคนก็วานให้ถือไพ่บ้าง ทำให้พี่พรมีรายได้เล็กๆ น้อยๆ ไว้ซื้ออาหารในยามที่ไม่ได้ลูกค้า แต่ที่ไม่มีใครอยากช่วยเหลือเรื่องที่พักอาศัยให้เธอเพราะเกรงว่าเมื่อถึงวันครบกำหนดคลอดลูกจะมีปัญหาตามมา เพราะเธอไม่มีพาสปอร์ตและวีซ่า
คืนต่อมา ขณะที่ฉันเดินกางร่มตามหาตัวพี่พรไปทั่วบริเวณที่เธอเคยมายืนจับแขก ปรากฏว่าพี่พรมายืนหลบฝนอยู่ข้างซอกตึกในสภาพกอดอกหนาวสั่น คืนนี้เธอก็ยังคงเหมือนเช่นทุกคืน คืออยู่ในอาการเมาเบลอสายตาเหม่อลอยพูดเสียงเฉื่อยช้า เห็นภาพพี่พรเป็นแบบนี้แล้วฉันต้องแอบน้ำตาซึมเพราะความสงสาร ถึงแม้ว่าเธอจะมีสติพูดคุยกับฉันรู้เรื่องดีทุกอย่าง แต่ฉันก็ไม่อยากเห็นเธออยู่ในสภาพอย่างนี้อีกต่อไป ยิ่งรู้ว่าเธอกำลังมีท้องและต้องมายืนจับแขกเพื่อให้ตัวเองมีที่พักหลับนอนผ่านไปคืนๆ ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นที่วันนั้นได้ปฏิเสธการช่วยเหลือเธอ
“พี่พร…หนูได้ข่าวว่าพี่กำลังท้อง แล้วพี่ท้องกับใครเหรอ?”
พอฉันคุยถึงเรื่องนี้ พี่พรเริ่มชักสีหน้าเศร้าคล้ายจะร้องไห้ แล้วเธอก็เล่าให้ฟังว่าท้องกับแขกซึ่งเป็นยากูซ่าในร้านสแน็ก เพราะมันโชว์สันดานเลวทรามด้วยการร่วมเพศอย่างเถื่อนดิบวิตถารและไม่ยอมใช้ถุงยางอนามัย หลังจากนั้นมันก็กลับมาใช้บริการจากเธออีก 2-3 ครั้ง ซึ่งเธอไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะเป็นเพื่อนกับเจ้าของร้าน สุดท้ายเมื่อทนไม่ได้อีกต่อไปเธอจึงย้ายร้านหนี และกลายเป็นคนเร่ร่อนมาจนทุกวันนี้
ฉันฟังเรื่องราวของพี่พรแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดไปกับเธอ เพราะรู้สันดานของไอ้พวกยากูซ่าดี ว่าเลวชั่วช้าขนาดไหน แต่มีประโยคหนึ่งที่พี่พรพูดแล้วทำให้ฉันต้องซาบซึ้งน้ำใจเธอ คือเธอบอกว่าเมื่อรู้ตัวว่าเริ่มตั้งท้องก็ไม่เคยคิดทำแท้ง ทั้งที่รู้ว่าเด็กคนนี้เกิดจากคนชั่วมีเชื้อสายเป็นยากูซ่า แต่เธอก็ตั้งใจว่าจะเลี้ยงดูลูกให้เป็นคนดีให้ได้
พี่พรเล่าว่าตอนที่เธอรู้ตัวว่าตั้งท้องได้สองเดือนก็คิดจะไปมอบตัวกลับเมืองไทย แต่บังเอิญตำรวจมาขึ้นอพาร์ตเม้นท์ ทำให้เธอกลับไปเอาพาสปอร์ตไม่ได้ แถมเงินที่พอมีเก็บสะสมก็ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทาง เธอบอกว่าตอนนั้นเครียดมากไม่รู้จะไปหาเงินที่ไหนซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทย จึงไปขโมยสร้อยเพชร และในที่สุดก็ไปขายให้คนไทยในบ่อน 30 มัง (300,000 เยน) แต่เขาเพิ่งทยอยให้มาได้แค่ 5 มัง ที่เหลือคือถูกโกง แถมยังโดนขู่ว่า ถ้ามาทวงมากๆ จะแจ้งให้ตำรวจจับว่าเธอไปขโมยของเขามา ตั้งแต่นั้นพี่พรก็ไม่กล้าทวงเงินที่เหลืออีกเลย
ฉันฟังพี่พรเล่าจบก็ไม่รู้จะช่วยเหลือเธอได้อย่างไร แหละคงต้องปล่อยให้เธอเข้าไปขออาศัยหลับนอนในบ่อนอีกตามเคย เพราะที่นั่นคือบ้านหลังสุดท้ายของเธอ และหลังจากวันนั้นฉันก็ไม่เคยพบพี่พรอีกเลย ถึงแม้จะไปเดินตามหาเธอในพื้นที่ที่เธอไปยืนจับแขกก็ไม่เคยพบ เมื่อสอบถามผู้หญิงแถวนั้นบางคนบอกว่าเธอเมายาแล้วโดนแขกพาไปกระทำชำเราบ้าง บางคนบอกว่าเธอโดนตำรวจจับส่งกลับเมืองไทยไปแล้วบ้าง เพราะในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ทุกคนต่างรู้กันดีว่าเป็นช่วงที่ตำรวจนิวกังออกกวาดล้างจับผู้หญิงขายบริการทุกชาติส่งกลับภูมิลำเนา
6 เดือนผ่านไป…อากาศที่เคยหนาวเหน็บก็เปลี่ยนมาเป็นฤดูร้อน ดอกซากุระกำลังบานสะพรั่งผู้คนต่างออกมาเดินชื่นชมความงามงดงามของธรรมชาติ วันนั้นฉันกำลังเดินเล่นอยู่ในตลาดนัดกลางแจ้งย่านซากูระคิโจ จะว่าไปแล้วก็คล้ายกับตลาดนัดงานวัดบ้านเราที่มีสินค้าสารพัดรูปแบบ ทั้งเสื้อผ้า ของกินของใช้หลากหลายประเภทมาตั้งขายให้ผู้คนที่เดินขวักไขว่เลือกชมสินค้าตามความปรารถนา
ขณะที่ฉันกำลังเดินเลือกชมสินค้าอยู่เพลินๆ เสียงคุ้นหูของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาทางด้านหลังในระยะประชิดตัว “อย่าเหมาหมดนะ…เก็บไว้ให้คนอื่นซื้อบ้าง” ฉันรีบหันไปมองต้นเสียงนั้นทันทีและแทบไม่อยากเชื่อว่าภาพที่ฉันเห็นคือพี่พร หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสในแบบที่ฉันเคยรู้จักตอนพบกันแรกๆ จะมายืนปรากฏร่างให้ฉันเห็นต่อหน้าต่อตา
“พี่พร…ไปไงมาไงถึงได้มาเดินแถวนี้เนี่ย?” ฉันกล่าวทักทายด้วยความดีใจ
“มาซื้อของใช้ให้น้องเก่งลูกชายพี่เอง” พี่พรตอบช้าๆ ด้วยรอยยิ้มสดใส
พี่พรเล่าว่าหลังจากคืนนั้นที่ฉันกับเธอต่างแยกย้ายกันไป พอเช้าวันรุ่งขึ้นเธอก็ตัดสินใจไปมอบตัวที่สถานทูตตามที่ฉันแนะนำ เพราะความหนาวเหน็บจนไม่อาจทนทรมานสังขารอีกต่อไปและทำใจว่าอาจจะต้องติดคุกอย่างไม่มีกำหนด แต่แล้วทุกอย่างกลับก็ตาลปัตรไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่อเจ้าหน้าที่สถานทูตรู้ว่าเธอตั้งครรภ์ก็ส่งตัวเธอเข้าโรงพยาบาล
กระทั่งหลังคลอดเมื่อหมอตรวจดีเอ็นเอจากเด็กพบว่ามีสายเลือดเป็นชาวญี่ปุ่น รัฐบาลก็ให้การอุปถัมภ์เลี้ยงดูลูกของเธอเป็นอย่างดี พร้อมทั้งให้สัญชาติเป็นประชากรญี่ปุ่นไปโดยปริยาย นอกจากนี้ยังได้รับการส่งเสียให้เรียนในระดับสูงสุดเท่าที่เด็กจะมีความสามารถ แม้แต่ตัวพี่พรก็พลอยโชคดีไปด้วย เมื่อเธอได้รับอนุญาตให้ทำพาสปอร์ตชั่วคราวพร้อมให้วีซ่าอีก 6 เดือน เพื่อให้อยู่เลี้ยงลูกในเบื้องต้น…