15 นาทีต่อมา
“พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก เราเห็นทุกอย่างในปารีสแล้ว และทำเวลาได้ตามแผน”
จากภาพยนตร์ comedy เรื่อง “European Vacation”
ในปี 1985 ฉากในหนังฮิต European Vacation ล้อเลียนรสนิยมการเที่ยวของแบบ “วิ่งไล่ตาม check list” เมื่อไปถึงที่ใด ก็ติ๊ก check ใน list แล้วไปต่อ แต่ถึงแม้ปัจจุบันการท่องเที่ยวแบบนี้ยังแพร่หลายอยู่ แต่กำลังถูกแทนที่อย่างช้าๆ ด้วยการเที่ยวอีกรูปแบบ ที่มีจุดประสงค์ตรงกันข้าม
หากคิดถึงปิรามิดของ Maslow สมัยเรียน ที่กล่าวถึงลำดับขั้นตอนของความต้องการของมนุษย์ หรือ hirachy of needs โดยแบ่งออกเป็น 2 โซนใหญ่ๆ โซนล่างเป็นการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย เช่น ความมั่นคง ความต้องการถูกยอมรับ ส่วนโซนบนเป็นการเพิ่มเติมในสิ่งที่มีอยู่แล้วให้สมบรูณ์ขึ้นไปอีก คือ self actualization หรือ เป็นได้อย่างที่ฝันไว้ สนองความต้องการส่วนลึกได้
การเที่ยวของคนเราก็หนีไม่พ้นการไต่ปิรามิดนี้เหมือนกัน บางคนทำไปเพราะลึกๆต้องการ social approval หรือการยอมรับจากสังคมที่คิดว่ายังขาดหายหรือยังไม่พอ เช่น ไปเที่ยวตามที่คนอื่นไปเที่ยว ไม่งั้นตกเทรนด์ หรือเที่ยวเพราะ FOMO - fear of missing out, เที่ยวเพื่อจะได้มีโพสในโลกโซเชียล หรือ เที่ยวเพื่อสุขภาพจิต ซ่อมแซมจิตใจ เพราะทำงานหนัก เลยขอสนุกบ้าง หรือ เที่ยวด้วยเหตุผลว่า “ยังไงก็ต้องไปเที่ยวบ้าง”
การเที่ยวในโซนฐานปิรามิดของ Maslow นี้ คือการเที่ยวแบบจารีต ที่พบได้ทั่วไปในคนส่วนใหญ่ คนเที่ยวอาจไม่ได้มีอาการ “อิน” อะไรมากมายในสิ่งที่พบเห็น ไม่ได้สนใจลึกในสิ่งที่ผ่านตา เพียงขอให้ได้ไปตาม checklist ครบภายในเวลาที่มี ไปช้อปปิ้ง กินอาหารอร่อย กับเพื่อนฝูงที่ถูกใจ เปลี่ยนที่กินที่นอน และที่สำคัญได้ selfie ลงโลกโซเชียล ก็ถือว่า happy เป็นไปตามที่หวังไว้ mission accomplished แล้ว
ส่วนการเที่ยวอีกแบบที่ถูกเรียกว่า “transformative tourism” หรือ การท่องเที่ยวเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นการเที่ยวในโซนบนปิรามิดของ Maslow ที่สำหรับคนที่ต้องการ “เป็นคนใหม่” หลังจากเที่ยว
ใน transformative tourism คนที่ไปไม่ค่อยได้มองการเที่ยวว่า “ไปเที่ยว” หากเป็นการ “ไปค้นพบตนเอง” โดยเน้นว่า “ไปทำอะไร” มากกว่าจะ “ไปที่ไหน” transformative tourism จึงเป็นเรื่องของกิจกรรมหรือ activity เป็นหลัก มีสถานที่เป็นฉาก
เมื่อคนทั่วไปนึกถึง transformative toursim ก็มักคิดถึงกิจกรรม adventure ต่างๆในสถานที่เท่ๆอันห่างไกล ซึ่งที่จริงไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น และกิจกรรม adventure ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็น transformative tourism เสมอไป หรือแม้กระทั่งไปไหนไกลด้วย
เช่น การได้ไปใช้ชีวิตร่วมกับคนท้องถิ่น การได้พูดคุยจริงจังแลกเปลี่ยนมุมมองกับคนท้องถิ่น หรือ การ challenge ตัวเองระหว่างเที่ยว ทำในสิ่งที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ การเที่ยวที่มี theme เช่น ตามรอยประวัติศาสตร์อย่างจริงจังด้วยตนเอง หรือ investigate ประเด็นสิ่งแวดล้อม ช่วยสอนหนังสือ เข้าเรียนคอร์สทำกับข้าว ตระเวนวาดรูป ไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศ ก็ถือเป็น transformative travel ได้แล้ว
ในทางตรงข้าม กิจกรรม adventure ที่เน้นเฮฮา เน้นถ่ายรูปโพสชูสองนิ้ว หรือ “ลองเล่น” มากกว่าเรียนรู้ ก็ย่อมไม่ถือว่าเป็น transformative
จากการศึกษาของ East Carlolina Unversity กับ ATTA หรือ Adventure Travel Trade Associaltion กับสมาชิก Outside Magazine สื่อที่เกี่ยวกับกีฬาและกิจกรรม outdoor พบว่า จุดประสงค์ของคนที่ชอบเที่ยวแบบกิจกรรม adventure เปลี่ยนไป จากเดิมเมื่อปี 2008 คนต้องการ ความสะใจ ความหวาดเสียว บ้าพลัง มาเปลี่ยนไปในปี 2015 โดยมีคำว่า การเรียนรู้ ความหมาย และ วัฒนธรรม ถูกเพิ่มเติมเข้ามา และอยู่ในอันดับต้นๆ
อันแสดงให้เห็นว่า ในยุคใหม่ คนมองการผจญภัยในลักษณะกิจกรรม transformative ที่ทำให้รู้จักตนเอง มากกว่าจะ “เอามัน” เป็นหลักเหมือนอย่างแต่ก่อน และมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ
Transformational Travel Council องค์กรที่โปรโมทการเที่ยวแบบนี้ เลยให้นิยามโดยไว้ว่า “H.E.R.O” คือ Heart- เที่ยวด้วยหัวใจ, Engagement- มีส่วนร่วมกับสังคมท้องถิ่น, Resolve challanges- แก้ปัญหาท้าทาย และ Open to the unknown- เปิดใจกับสิ่งที่ไม่รู้

Transformative tourism จึงเป็นคำตอบของคนที่มองหาความเข้าใจชีวิต และ challenge ตัวเองเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยอาศัยการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือให้บรรลุ นัยว่า แทนที่จะใช้ชีวิตปกติ แล้วหวังว่าสักวันหนึ่งจะค้นพบตนเอง ก็อาจจะนานเกินไป ก็เลยหันมาใช้การไปเที่ยวไม่กี่วัน มา custom made เพื่อใช้ เป็น “ทางลัดกาลเวลา” หรือ “wormhole” ที่นำพาตนไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างรวดเร็ว
คนที่เที่ยวแบบ transformative คือใคร? รายงานปี 2018 ของ World Tourism Organization ลองส่อง profile ของคนเที่ยวแบบ transformative ทั่วโลก พบว่า 82% ของคนกลุ่มนี้ไม่ยอมเที่ยวกับกลุ่มใหญ่ หากจัดโปรแกรมด้วยตนเอง เป็นคนโสด 59% มีแฟนแล้ว 35% เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีฐานะดีกว่าคนส่วนใหญ่ และมีการศึกษาดี โดยเป็นคนยุโรปมากสุด 61% รองมาเป็นคนเอเชีย 24% ส่วนคนอเมริกาเหนือมีแค่ 11% เท่านั้น
คนเหล่านี้บอกว่า จุดประสงค์ที่พวกเขาเที่ยวแบบนี้เพราะอันดับหนึ่งคือ ต้องการ connect กับผู้คน รองลงมาคือ เพื่อไปเห็นสถานที่เที่ยว มาดูวิถีชีวิตผู้คน เปลี่ยนทัศนะมุมมอง หาความรู้ใส่ตัว พร้อมกับความสุขทางใจ
ส่วนแรงจูงใจอันดับต้นๆที่ทำให้อยากเที่ยว คือ “ไปตามฝันที่มีมานานแล้ว” “ค้นหาความหมายในชีวิต” “อยากรู้” ในขณะที่แรงจูงใจท้ายสุด ที่แทบไม่ให้ความสำคัญเลย คือ ช้อปปิ้ง และ พักผ่อน
ซึ่งอยู่คนละขั้วกับการเที่ยวแบบดั้งเดิม ที่ไปเพื่อช้อปปิ้งและพักผ่อนเป็นหลัก จึงไม่น่าประหลาดใจว่า คนที่ชอบเที่ยวแบบดั้งเดิม กับ คนที่ชอบเที่ยวแบบ transformative จะเที่ยวด้วยกันไม่ได้
style ของ transformative tourism จึงแตกต่างจากการเที่ยวแบบดั้งเดิมมาก เพราะ transformative tourism เป็นเรื่องค่อนข้างส่วนตัวแบบไม่แคร์สื่อ ตอบโจทย์เฉพาะตัว อาศัยข้อมูลมาก ทำการบ้านมาก เหนื่อยกว่า และมีความท้าทายสูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของร่างกายหรือจิตใจ แทนที่จะนึกถึงสถานที่อยากไปเป็นอันดับแรก ก็ตั้งโจทย์ว่า “อยากได้อะไร” จากการเที่ยวนี้ก่อน แล้วรายการกิจกรรมกับที่เที่ยวถึงค่อยตามมา
ส่วนบริษัททัวร์ แทนที่เป็นผู้ขายรายการเที่ยว ก็กลายเป็น “consultant” จัด “solution event” ที่สนองโจทย์แปรความต้องการเชิงนามธรรมของลูกค้าแต่ละราย ให้กลายเป็นรูปธรรมแบบ custom made โดยมีสถานที่เที่ยวเป็นฉาก และการท่องเที่ยวเป็น “platform” หรือเวที
จากการ survey ของบริษัทท่องเที่ยว Skift กับนักท่องเทียว 500 คนในปี 2018 พบว่า มี 1 ใน 3 ได้พบประสบการณ์ระหว่างการเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงตัวเขาในเชิงบวก จนติดใจอยากได้แบบนี้อีก ส่วนในกลุ่มที่ไม่เคยเจอ moment แบบนี้ มี 1 ใน 4 บอกว่า ต้องการเจอ ซึ่งตัวเลขนี้อาจหมายถึงศักยภาพคร่าวๆของ demand ในตลาดการท่องเที่ยวแบบ transformative
แต่บางคนกลับมองว่า transformative tourism เป็นเรื่องปรัชญาเกินไป จับต้องไม่ได้ เป็นเรื่องเท่ๆที่พูดกันไปอย่างนั้นเอง อีกหลายคนแย้งว่า transformative tourism เป็นแค่ศัพท์หรูที่ถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อการตลาด ซึ่งที่จริงก็แค่เป็นเรื่องการทำ segmentation ใหม่ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เลยทำให้มีความเชื่อว่า อีกหน่อยคำนี้ก็จะถูกใช้จนหมดความหมาย และเกิดมีคำเท่ๆขึ้นมาแทน วนเวียนดังนี้ไปเรื่อยๆ
ที่จริงแล้ว การเที่ยวแบบ transformative ไม่จำเป็นต้องชูป้ายบอกว่าเป็น transformative และไม่ต้องเป็นการเน้นกิจกรรมอย่างชัดเจนก็ได้ Jake Haupert ผู้ร่วมก่อตั้ง Transformational Travel Council ที่โปรโมทธุรกิจนี้เองบอกว่า รายการเที่ยวสุดแสนรรมดาอาจกลายเป็น transformative ได้เหมือนกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคนเที่ยว ไม่ใช่ใครที่ไหน และจะเที่ยวด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้ใครจัดให้ ก็ย่อมได้อีก
ในรายการเที่ยวเดียวกันเป๊ะ คนหนึ่งอาจสังเกตุมองเห็นอะไรมากกว่า สนใจคุยกับคนท้องถิ่น ได้แง่คิดมุมมองใหม่กลับมา แต่อีกคนอาจพะวงแต่หามุม selfie หรือก้มหน้าเล่นมือถือ แทนที่จะให้ความสนใจกับผู้คนหรือสถานที่ แน่นอนว่า สองคนนี้ย่อมพกกำไรชีวิตกลับบ้านต่างกัน ใครก็ตามที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เก็บสิ่งที่พบเห็นมาคิดต่อเป็นการบ้าน ก็มีโอกาสทำให้การเที่ยวพื้นๆ กลายเป็น transformative travel ได้
หรือในทางตรงข้าม ต่อให้จัดโปรแกรมเที่ยวให้เต็มไปด้วยกิจกรรมเพื่อการ transformative แต่คนเที่ยวไม่ get ไม่รู้สึก ไม่ชอบ ก็เป็นได้อีกเหมือนกัน
นั่นหมายความว่า สุดท้ายแล้ว เที่ยวแล้วจะ transform หรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวเรานั่นเอง ซึ่งหมายความต่อว่า ยุคของ transformative tourism คงไม่ใช่เรื่อง fad หรือเทรนด์ชั่วคราว เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า บริษัททัวร์จะโหมการตลาดอย่างไร แต่เป็นเรื่องของ ทัศนคติของคนเที่ยวที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างไม่ย้อนกลับ
ส่วนจะถึงกับเปลี่ยนโฉมหน้าการท่องเที่ยวได้เลยหรือไม่นั้น คงยังต้องรออีกพักใหญ่ เพราะปัจจุบัน คนที่ต้องการเที่ยวแบบ transformative ยังเป็นแค่ชนส่วนน้อยเท่านั้น
ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจอีก เพราะคนที่จะไต่ขึ้นไปอยู่ในโซนใกล้ยอดปิรามิดของ Maslow คงมีไม่มากอยู่แล้ว