เวียดนามอย่างที่เราทราบกันว่าเป็นหนึ่งในประเทศระบอบคอมมิวนิสต์ที่มีการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
สิ่งที่ทำให้คิมประทับใจในเวียดนาม
1.ความเหมือนของเวียดนามกับเกาหลีเหนือคือ ปกครองด้วยระบอบพรรคเดียว คือ พรรคคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่ช่วงปี 1986 เศรษฐกิจของเวียดนามได้เปิดกว้างขึ้น ทำให้อัตราเศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตสูงที่สุดประเทศหนึ่งของเอเชีย อ้างอิงจากข้อมูลธนาคารโลกพบว่า ในปีนี้ค่าจีดีพีของเวียดนามอาจเติบโตได้ถึง 6.6%
2.ทางพรรคไม่ต้องการให้มีกลุ่มต่อต้านและรักษาการเป็นผู้นำโดยตรงซึ่งเหนือกองทัพและตำรวจ
3.พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ได้จัดการปราบปรามผู้ที่แข็งข้อต่อรัฐอย่างไม่ลดละ
4.เวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดเจรจาในครั้งนี้ ซึ่งการประชุมครั้งสุดยอดนี้ เป็นสัญญาณบอกว่า เวียดนามเริ่มไม่ธรรมดา เพราะก้าวมาได้ไกลมากนับตั้งแต่สิ้นสงครามเวียดนามตั้งแต่ปี 1975 ด้วยบทบาทที่สำคัญในระดับโลกและเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้คิม จองอึน สนใจในประเทศนี้
จากการตรวจสอบโซเชียลมีเดียในเวียดนามพบว่า ประชาชนชาวเวียดนามรู้สึกภูมิใจที่ถูกเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการเจรจาของผู้นำสองประเทศระดับโลกในครั้งนี้ ก่อนหน้ามีหลายสัญญาณว่า คิม จองอึนมีใจที่เปิดกว้างมากกว่าบิดา เพราะว่าถ้าหากเราพูดถึง คิม จองอิลผู้เป็นบิดาซึ่งเขาไม่เคยคิดที่จะมาเยือนเวียดนามเลยแต่อย่างใด ซึ่งผิดกับคิม จองอึน ที่เปิดกว้างในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ช่วงปี 2011 อย่างในภาคการเกษตรเขาอนุญาตให้เก็บผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ไว้บางส่วน เป็นต้น
ในช่วงเริ่มต้นนั้นสหรัฐและเกาหลีเหนือ ยังไม่เห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับนิยามการปลดอาวุธรบนิวเคลียร์ และก็ยังไม่ได้มีการยกเลิกการคว่ำบาตรแต่อย่างใด จึงเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนที่จะเดินทางเข้าไปลงทุนในประเทศเกาหลีเหนือ และคิมยังจำเป็นต้องโน้มน้าวชนชั้นนำของเกาหลีเหนือ เรื่องการเปิดกว้างมากขึ้นเป็นชัยชนะทางด้านนโยบายของเขาในระยะยาว ไม่ใช่เป็นการยอมต่อแรงกดดันทางตลาด
หากพูดถึงเรื่องนี้เวียดนามสามารถให้คำปรึกษาได้ “เวียดนามได้เรียนรู้วิธีดำเนินนโยบายของต่างประเทศในหลายทางเพื่อเลี่ยงการไปหวังพึ่งเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง และสร้างระบบที่ทันสมัยของการธนาคารและการเงิน ซึ่งถ้าหากเกาหลีเหนือต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง จะต้องเรียนรู้บทเรียนที่ไม่ส่งผลดีด้วย
อ้างอิง : https://www.bbc.com/news/world-asia-47222063
